กันยายน 01, 2550

ความประทับใจของข้าพเจ้า


สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจที่จะนำมาบอกกล่าวไว้ ณ ที่นี้ก็คือความประทับใจในช่วงชีวิตมัธยมปลาย แน่นอนว่าช่วงชีวิตในมัธยมปลายถือเป็นช่วงชีวิตที่มีความสนุกสนานเป็นพิเศษและความประทับใจของข้าพเจ้าในช่วงนี้ก็คือ เพื่อน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับเด็กมัธยมปลายทุกคนหรือถ้าจะพูดอีกแง่ก็คือ ใครที่ไม่มีเพื่อนชีวิตของเขาในช่วงมัธยมปลายคงเป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์นักโดยปกติแล้วข้าพเจ้ากับเพื่อนๆก็รักใคร่กันมาตลอด เพราะเราต่างก็ผ่านอะไรหลายๆอย่างด้วยกันแต่เหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าอยากจะนำมากล่าวไว้ในที่นี้ก็คือ เหตุการณ์เมื่อครั้งที่ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆได้ไปเข้าค่ายกันในฐานะของนักศึกษาวิชาทหารซึ่งในเวลานั้นเป็นช่วงปลายของการเรียนแล้ว แน่นอนเมื่อพูดถึงการไปเข้าค่ายของบรรดานักศึกษาวิชาทหารสิ่งแรกที่ใครๆต้องนึกถึงก็คือ ความยากลำบากและกฎระเบียบอันเข้มงวดคงจะไม่มีใครมาคิดว่ามันเป็นการเข้าค่ายที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความสบายอย่างแน่นอนซึ่งนั่นคือความรู้สึกของข้าพเจ้าก่อนที่จะออกเดินทางไปเข้าค่าย แรกเริ่มเดิมทีของการเข้าค่าย ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดคิดไว้เราต้องประสบกับความยากลำบากมากมาย เช่น ในวันแรกของการเข้าค่ายนักศึกษาวิชาทหารทุกคนต้องเดินทางไกลเพื่อไปยังจุดมุ่งหมายที่ถูกกำหนดซึ่งมีระยะทางที่ยาวถึง 20 กิโลเมตรท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุบวกกับสัมภาระเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็น ยิ่งทำให้การเดินของทุกคนยากลำบากยิ่งขึ้น และในช่วงที่ทุกคนกำลังเหนื่อยล้าจากการเดินทางสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตว่าทุกคนต้องการมันก็คือ “น้ำ”แน่นอนว่าการเดินทางในครั้งนั้นไม่มีร้านขายน้ำระหว่างทาง ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากความร้อนของแสงแดดที่สาดส่องอยู่เบื้องหน้าและเมื่อความคับขันเข้าครอบงำทุกคนสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองของข้าพเจ้าก็คือคำพูดที่ว่า“มนุษย์เราเมื่อถึงเวลาจวนตัวที่จะชี้วัดว่าตัวเองจะอยู่หรือจะไป เมื่อนั้นธาตุแท้ของมนุษย์จะเผยออกมา” ซึ่งสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบเห็นก็คือการเอาตัวรอดและความเห็นแก่ตัวของใครหลายๆคน แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าประทับใจก็คือ ความมีน้ำใจของเพื่อนทั้ง 7คนของข้าพเจ้าที่เราคบกันมาตลอด 3 ปีของการเรียนมัธยมปลายก็เพราะว่าในช่วงที่เราพักเหนื่อยจากการเดินทางนั้นทุกคนต่างก็หิวน้ำ และในกลุ่มของเรา 7คนนั้นก็มีน้ำอยู่เพียงแค่ขวดเดียวซึ่งถ้าจะแบ่งกันกินก็คงไม่พอกินทั้ง 7 คนแน่ ด้วยเหตุนี้เจ้าของน้ำจึงยอมเสียสละน้ำให้แก่เพื่อน คนที่ 2ที่ดูท่าทางจะกระหายน้ำยิ่งกว่าแต่คนที่ 2 ก็ปฎิเสธเพราะเห็นว่าคนที่ 3 ดูเหมือนจะเหนื่อยกว่าแต่ไม่ว่าจะอย่างไรทั้ง 7คนก็ไม่มีใครได้กินน้ำแม้แต่คนเดียว เพราะมัวแต่ยื่นน้ำให้แก่เพื่อนคนอื่นจนสุดท้ายเวลาของการพักก็หมดลงเราจึงออกเดินทางกันต่อโดยไม่มีใครได้ดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย นี่คือตัวอย่างที่ข้าพเจ้าประทับใจในความเสียสละของเพื่อนๆซึ่งยังมีอีกมากมายที่ข้าพเจ้าประทับใจต่อบรรดาเพื่อนๆทุกคน ความเป็นพี่น้อง,ความเจ็บปวดที่ทุกคนอาสาเจ็บร่วมกันจากการถูกทำโทษและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอดการเข้าค่ายเหล่านี้คือมิตรภาพที่ยากแก่การที่จะพบ และในคืนวันสุดท้ายที่เราได้ร่วมทำกิจกรรมร่วมกัน(กิจกรรมระบำรอบกองไฟ)ซึ่งได้มีการเปิดโอกาสให้ทุกคนพูดในสิ่งที่อยากจะพูด ซึ่งในครั้งนั้นได้ทำให้ใครหลายๆคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยกับความซาบซึ้งและในวันรุ่งขึ้นที่เราต้องแยกย้ายกันกลับบ้านก็ได้มีการร่ำลากัน สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นก็คือบางคนได้เข้ากอดเพื่อนไว้อย่างเหนียวแน่นในขณะที่บางคนก็มีสีหน้าเศร้าๆอันเนื่องเพราะเราต้องจากกันและไม่รู้ว่าจะพบกันอีกเมื่อไหร่ซึ่งถ้าถามว่าความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรคงตอบได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อก่อนที่เราจะออกเดินทางมาที่นี้ เพราะก่อนมาทุกคนมีความรู้สึกที่ไม่อยากจะมาแต่ก่อนกลับทุกคนก็ไม่อยากกลับขึ้นมา แต่ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าเป็นธรรมดา ทุกสิ่งมีเริ่มต้นก็ต้องมีสิ้นสุด ไม่มีงานเลี้ยงไหนที่ไม่มีการเลิกราเราทั้งหลายมาเจอกันก็เพื่อจากกัน และสุดท้ายเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านทิ้งไว้เพียงความหลังจากการเข้าค่ายในครั้งนี้ซึ่งถือเป้นความทรงจำที่ดีที่สุดครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้าในชีวิต ม.ปลาย ที่ข้าพเจ้าไม่เคยลืมตลอดมา
นาย อามีน ลอนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
รหัสนักศึกษา 5020210663

2 ความคิดเห็น:

อันธิฌา ทัศคร กล่าวว่า...

อามีนน่าจะส่งลิงก์ไปให้เพื่อนๆที่ออกค่ายด้วยกันในวันนั้นอ่านนะคะ อาจารย์ว่าเพื่อนๆทุกๆคนก็คงคิดเหมือนกันกับคุณ

"มิตรภาพ" เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าของขวัญใดๆที่เพื่อนจะมีให้กัน

ยินดีด้วยนะคะที่มีเพื่อนดีๆอย่างนี้

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ก็อยากให้เก็บความทรงจําดีๆๆ แบบนี้ไว้จะได้คิดถึงในเวลาที่เราคิดถึงกัน เวลาที่เราเครียดเราอาจจะคิดถึงความทรงจําดีๆๆอันนี้ก็ได้ ก็จะเป็นกําลังใจให้ล่ะกันน่ะค่ะ